KM ภาควิชาและสำนักงาน
เรื่อง ประสบการณ์จากการฝึกอบรม
ภาควิชาการพยาบาลรากฐานจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหัวข้อ "ระบบประสาท" เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2557 เวลา 12.00 – 13.30 น. ณ ห้อง 508 อาคารมหิดลอดุลยเดช-พระศรีนครินทร ชั้น 5 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา วัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประสบการณ์ของคณาจารย์ภายในภาควิชาการพยาบาลรากฐาน โดยมี
จากการเข้าประชุม เรื่อง "การพัฒนายุทธศาสตร์งานวิจัยเกี่ยวกับสมอง จิตใจ และพฤติกรรม" (Development of Research Strategies for Brain Mind and Behavior) ระหว่างวันที่ 21 – 23 กรกฏาคม 2557 ณ ห้องประชุมจูปิเตอร์ (Jupiter) ชั้น 3 โรงแรมมิราเคิลแกรนด์คอนเวนชั่น หลักสี่กรุงเทพฯ จัดโดย สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ในประเด็น 1) วัตถุประสงค์ 2) สถิติอัตราตายด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 3) โรคสมองเสื่อมอัลไชเมอร์ และ 4) การวิจัยเกี่ยวกับสมองเสื่อม ครอบคลุมเรื่องต่างๆ ดังนี้
วัตถุประสงค์
- เพื่อให้มีการทบทวนสถานะภาพ และความก้าวหน้าของการวิจัยที่เกี่ยวกับสมองและระบบประสาท จิตใจ และพฤติกรรมในประเทศไทย และในนานาอารยะประเทศ
- เพื่อให้มีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ปัญหา อุปสรรค และโอกาสของการวิจัยด้านนี้ในประเทศไทย
- เพื่อให้มีการระดมความคิดเพื่อพัฒนายุทธศาสตร์งานวิจัยมุ่งเป้าเกี่ยวกับสมองและระบบประสาท จิตใจ และพฤติกรรม และโอกาสของการวิจัยเพื่อการถ่ายทอด (Translational research) ที่นำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมในการแก้ปัญหาสำคัญต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสมองและระบบประสาทอย่างครบวงจร ตลอดจนสามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่สำคัญของประเทศ พัฒนาเทคโนโลยี วิธีการตรวจ รักษา และฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคสมอง-จิตใจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคตอันใกล้
- เพื่อให้มีการพัฒนาเครือข่าย และวิธีการสนับสนุนการวิจัยมุ่งเป้าเกี่ยวกับสมองและระบบประสาท จิตใจ และพฤติกรรม
- เพื่อเสนอแนวคิดในการศึกษาวิจัยด้านสมองในอนาคต 5 ด้าน ได้แก่
5.1 Think Smart
5.2 Think Early
5.3 Think Right
5.4 Think Innovative
5.5 Think Big
สถิติอัตราตายด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
จากรายงานสถิติสาธารณสุข พ.ศ. 2546- 2555 อัตราตายด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สำคัญ ได้แก่ โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมองใหญ่ (อัมพฤกษ์ อัมพาต) และโรคเบาหวาน พบว่า ในปี 2553-2555 มีอัตราตายเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกโรค ส่วนโรคความดันโลหิตสูงในปี 2554-2555 ยังคงอยู่ในระดับสูงทรงตัว ดังข้อมูลตามตาราง
โรคสมองเสื่อมอัลไชเมอร์
การวินิจฉัยโรคสมองเสื่อมอัลไชเมอร์ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
อัลไชเมอร์ (Alzhiemer's dementia, AD) เป็นโรคสมองเสื่อมที่พบได้สูงถึงร้อยละ 70 ของผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมทั้งหมด เป็นโรคที่ยังรักษาไม่ได้ ผู้ป่วยจะมีการถดถอยของความจำ (cognitive function) และมักเสียชีวิตภายใน 7-10 ปี
อุบัติการณ์
ความชุกของโรคอัลไชเมอร์จะสัมพันธ์กับอายุ พบว่ามีความชุกของโรคประมาณ ร้อยละ 10 ในคนอายุ 65 ปี และจะเพิ่มเป็นร้อยละ 40 ในคนอายุ 85 ปี
อาการ
ความจำลดลงช้าๆ เรียกว่า อาการความจำถดถอย (Minimal cognitive impairment; MCI)
พยาธิสภาพ
ลักษณะพยาธิสภาพ คือ สมองฝ่อ (cortical atrophy) และพยาธิสภาพทางกล้องจุลทรรศน์จะพบ cellular degeneration อย่างแพร่หลาย และมีลักษณะเฉพาะ คือ พบ Intracellular neurofibrillary tangles และ Extracellular amyloid plaques
ในระยะเริ่มต้นของโรค สิ่งที่พบ คือ
- การฝ่อของสมองจะพบที่ส่วน Hippocampus, Mesial temporal lobe, Posteromedial parietal lobe (precuneus and posterior cingulate gyrus) และ Lateral temporal lobe cortex
- พบ Amyloid plaques มากในสมองส่วน Frontal lobe โดยเฉพาะในสมองส่วน orbital, medial frontal areas, cingulate gyrus, precuneus, lateral parietal และ temporal regions และพบ Amyloid plaques น้อยมากในสมองส่วน Primary sensorimotor, Occipital cortex และ Mesial temporal areas
- พบสาร Neurofibrillary tangles หนาแน่นมากในส่วนของ mesial temporal areas รวมถึงสมองส่วนของ hippocampus
การวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ปัจจุบันมีการพัฒนาการตรวจหาสาร biomarker ในการตรวจหา biomarker จะใช้ 2 ลักษณะ คือ
1. การตรวจหาพยาธิสภาพของโรคสมองเสื่อมอัลไชเมอร์
2. การตรวจหาเซลล์ประสาทที่เสียหาย
การตรวจหาสารที่เป็นพยาธิสภาพของโรคสมองเสื่อมอัลไชเมอร์ คือ สาร Bata-Amyloid ซึ่งสามารถพบได้โดยการตรวจ PET imaging หรือการตรวจนํ้าไขสัน ซึ่งพบว่า
- การใช้วิธีการตรวจ 11C-PIB PET ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมอัลไชเมอร์จะพบ สาร Bata-Amyloid ชัดเจน แต่จะไม่สัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค
- ในคนสูงอายุปกติ จะพบ สาร Bata-Amyloid ดังนี้
พบ ประมาณร้อยละ 12 ในคนอายุ 60 ปี
พบ ประมาณร้อยละ 30 ในคนอายุ 70 ปี
พบ ประมาณร้อยละ 50 ในคนอายุ 80 ปี
- ในคนปกติที่พบ สาร Bata-Amyloid จะมีความเสี่ยงสูงที่มีความจำถดถอยและสมองฝ่อที่จะเป็นอาการเริ่มต้นของโรคสมองเสื่อมอัลไชเมอร์
- จากการศึกษาระยะยาว (Longitudinal studies) โดยการใช้ 11C-PiB ยืนยัน พบว่า การสะสมของสาร Bata-Amyloid จะเกิดขึ้นช้าๆ ประมาณร้อยละ 2-3 ต่อปี ชึ่งคล้ายกับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมอัลไชเมอร์มี่อยู่ในภาวะ MCI
- การตรวจสาร Bata-Amyloid ทำให้รู้ก่อนที่จะมีอาการโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์นานถึง 10-20 ปี
- พบว่าร้อยละ 70 ของผู้ป่วยที่ตรวจพบสาร Bata-Amyloid จะพัฒนาไปเป็นโรคอัลไซเมอร์ในระยะเวลา 3 ปี
- การตรวจสาร Bata-Amyloid โดยการใช้ 11C-PIB-PET มีความคาดเดา (predictive value) ได้แม่นยำมากในผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมอัลไชเมอร์ที่อยู่ในภาวะ MCI ว่าจะเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือไม่
ความถูกต้องแม่นยำของการตรวจสาร Bata-Amyloid
- จากการใช้ PET scan ตรวจหาสาร Bata-Amyloid ในการวินิจฉัยโรคสมองเสื่อมอัลไชเมอร์ พบว่ามีความไวในการตรวจพบและความแม่นยำสูงแต่จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ดังนี้
ความแม่นยำ ประมาณร้อยละ 90% ในผู้ป่วยอายุ 70 ปี
ความแม่นยำ ประมาณร้อยละ 75-80 ในผู้ป่วยอายุ 80 ปี
- ยังไม่มีรายงานว่า พบผลเป็นบวกเทียม (false positive)
- มีรายงานน้อยมากว่า พบผลเป็นลบเทียม (false negative)
การรักษา
- ยาที่มีใช้ในปัจจุบันได้แก่ ยากลุ่ม acetylcholinesterase inhibitors (AChEI) และ memantine
- แนวทางการรักษาปัจจุบันแนะนำให้ใช้ยากลุ่ม AChEI เป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมอัลไชเมอร์ที่มีอาการน้อย - ปานกลาง
- ใช้ memantine ในรายที่มีอาการปานกลาง – รุนแรง หรือที่ไม่สามารถใช้ยา AChEI และเฝ้าระวังผลข้างเคียง
- การใช้ยาอื่น เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านการอักเสบ ข้อมูลส่วนใหญ่พบว่า ไม่ได้ผล
- ภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นแนวทางการรักษาใหม่ที่ได้รับความสนใจ เพราะสามารถยับยั้งการสะสมหรือกำจัดสาร Bata-Amyloid ในสมองได้
การวิจัยเกี่ยวกับสมองเสื่อม ครอบคลุมเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
- พัฒนาชุดการวิจัยการส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรค
- พัฒนาวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบในประเด็นต่างๆ รวมถึงผลกระทบจากการวินิจฉัยและรักษาใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นที่นำไปสู่ความต้องการของผู้ป่วยและญาติอย่างจริงจัง
- พัฒนาชุดโครงการวิจัย ในการชะลอความเสื่อมของสมองและการฟื้นฟูของสมอง
- พัฒนาการวิจัยเพื่อหารูปแบบการดูแลที่ดี เพื่อส่งเสริมญาติให้เป็นผู้ดูแลที่มีทักษะ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูสภาพทางร่างกาย และสมองเร็วขึ้นในสังคมเมืองและชนบท
- พัฒนาชุดโครงการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับระบบการดูแลที่มีการเตรียมความพร้อมของผู้ดูแลอย่างมีมาตรฐาน เพื่อส่งเสริมการดูแลของญาติ เพื่อช่วยลดความเครียดและนำไปสู่การปรับตัว
- พัฒนารูปแบบการออกแบบบริการที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยอยู่ที่บ้านได้อย่างมีคุณภาพชีวิตและปราศจากภาวะแทรกซ้อน โดยให้สังคมและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลระยะยาว
- พัฒนาระบบการสอน เพื่อให้บริการความรู้ เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนัก ในการป้องกัน โดยการใช้การสื่อสารทางไกล ในการป้องกนโรคทางสมองที่ประชาชนสามารถปฏิบัติได้โดยง่าย
- 8.ชุดการวิจัยที่เกี่ยวกับมิติด้านสังคมและวัฒนธรรม เช่น
-การรับรู้และเจตคติของประชาชนที่เกี่ยวข้องกับการยอมรับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
- การตระหนักของสังคม
-
การป้องกันช่วยเหลือผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง ชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อม
- พัฒนาชุดโครงการที่เน้นความปลอดภัยของผู้ป่วยและคุณภาพการดูแลที่ได้ตามมาตรฐาน
- การพัฒนาระบบการดูแลที่ป้องกันการหกล้มในผู้ป่วย
- การทำวิจัยเพื่อส่งเสริมการทำงานของบุคลากรในสาขาต่างๆ
- การรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ และความปลอดภัยเมื่อต้องเจ็บป่วยอยู่ที่บ้าน
ผู้ลิขิต
อาจารย์จิรวรรณ มาลา
รองศาสตราจารย์พัสมณฑ์ คุ้มทวีพร |
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ |
|
|